Thursday, September 20, 2012

หลักการก่ออิฐ (ดิน บล๊อคต่างๆ)

หลักการก่ออิฐเบื้องต้น
เขียนโดย ธนา อุทัยภัตรากูร  



หลักการก่ออิฐเบื้องต้น
     บ้านดินส่วนใหญ่ในเมืองไทยสร้างโดยใช้เทคนิควิธีแบบอิฐดินดิบ โดยพื้นฐานแล้วผนังอิฐดินดิบนี้เป็นการก่อสร้างในระบบผนังรับน้ำหนัก หมายถึงการที่ผนังทั้งหมดทำหน้าที่เหมือนเป็นเสารับน้ำหนักจากด้านบน เพราะฉะนั้นการก่ออิฐที่ดีจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก การก่ออิฐที่ถูกวิธีจะช่วยให้การถ่ายน้ำหนักลงสู่ฐานรากและพื้นอย่างสมดุล

     ช่างก่อสร้างโดยส่วนมากจะมีทักษะในการก่ออิฐมอญ ซึ่งลักษณะการก่อของอิฐดินดิบนั้นไม่ต่างกันมากนัก แต่ระบบการรับน้ำหนักนั้นต่างกันมาก เพื่อความเข้าใจในการก่ออิฐที่ถูกต้อง ผมจึงเขียนบทความนี้ขึ้น สำหรับผู้ที่อาจจะไม่คุ้นชินกับการก่ออิฐมอญ และโดยเฉพาะกับการก่ออิฐเพื่อเป็นผนังรับน้ำหนัก

     ก่อนที่จะอธิบายถึงการก่ออิฐ ผมขออธิบายความแตกต่างระหว่างโครงสร้าง 2 ประเภทที่ต่างกัน ได้แก่
  
1. โครงสร้างแบบเสาและคาน เป็นลักษณะโครงสร้างที่เห็นได้ทั่วไปในปัจจุบัน โครงสร้างแบบนี้จะใช้คานเป็นตัวรับน้ำหนักทั้งหมด แล้วถ่ายน้ำหนักนั้นลงไปที่เสาและถ่ายแรงนั้นจากเสาลงสู่ฐานรากที่อยู่ใต้ ดิน เมื่อน้ำหนักส่วนใหญ่ถูกถ่ายลงไปที่เสาแล้ว ผนังก่ออิฐมอญทั่วไปที่เราเห็นจึงทำหน้าที่เพียงแค่ฉากกั้น และรับน้ำหนักตัวของมันเอง(รวมทั้งวงกบประตู-หน้าต่าง) โครงสร้างแบบนี้เอื้อในการออกแบบหน้าต่างที่กว้างมาก ๆ ได้ เพราะตัวผนังนั้นไม่ต้องรับน้ำหนักในส่วนของโครงสร้าง
   

2. โครงสร้างแบบผนังรับน้ำหนัก เป็นลักษณะโครงสร้างที่เห็นได้จากอาคารประเภท โบสถ์ วิหาร หรือกำแพงเมืองโบราณ โครงสร้างแบบนี้ตัวผนังเองถือเป็นตัวรับน้ำหนัก เปรียบเหมือนการนำเสามาวางเรียงต่อกันจนกลายเป็นผนัง ซึ่งทำให้โครงสร้างแบบนี้ไม่สามารถทำช่องเปิดได้มากนัก ถ้าต้องการให้มีช่องเปิดต้องมีทับหลังที่แข็งแรงพอ หรือก่ออิฐเป็นช่องเปิดโค้งเพื่อถ่ายแรงไปยังผนังที่อยู่ด้านข้าง




     การก่ออิฐของผนังรับน้ำหนักจึงสำคัญกว่าการก่ออิฐมอญเพราะเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างที่จะรับน้ำหนักทั้งของตัวมันเองและของโครงสร้างที่อยู่ด้านบน หลักการง่าย ๆ ของการก่ออิฐคือการให้รอยต่อของอิฐแต่ละชั้นเหลื่อมกันครึ่งก้อน หรืออย่างน้อยที่สุดต้องเหลื่อมกันเป็นระยะ ๑๐ เซนติเมตร ผนังอิฐที่ก่อไม่ควรมีรอยต่อซ้อนกัน (ดังภาพ)
 


การก่อที่ไม่ถูกต้องจะทำให้การรับน้ำหนักของผนังไม่กระจายออก ทำให้เกิดแรงเฉพาะจุดอาจะทำให้ทรุด เมื่อมีน้ำหนักกดในส่วนที่ก่อไว้ไม่ดีอาจทำให้เกิดการร้าว
 
 
 

จากหลักการที่กล่าวมา ผมจึงเขียนตัวอย่างของการก่ออิฐในส่วนต่าง ๆ ของอาคาร ไว้เป็นแนวทาง

1. การก่ออิฐในส่วนมุมของอาคาร มุมของอาคารเป็นส่วนที่สำคัญเพราะเป็นจุดตัดของอาคาร ซึ่งต้องทำหน้าที่ทั้งรับน้ำหนัก และช่วยค้ำผนังทั้งสองข้างไม่ให้ล้มง่าย





2. การก่ออิฐผนังรูปตัว T เป็นอีกส่วนหนึ่งของอาคารที่มีความ สำคัญ เนื่องจากถ้าผนังเชื่อมต่อกันไม่ดีอาจเกิดอาการฉีกขาดของผนัง อาจทำให้ผนังล้มได้ การก่ออิฐผนังรูปตัว T นั้นสามารถก่อได้หลายแบบ ที่เขียนไว้คือเทคนิควิธีหนึ่งเท่านั้น ขอเพียงก่อตามหลักการคือไม่ให้รอยต่อของอิฐแต่ละชั้นตรงกันก็ถือว่าใช้ได้






3. การก่อผนังลอย เป็น ลักษณะเดียวกับการก่ออิฐชนประตูหรือหน้าต่าง ถ้าต้องการก่อเป็นผนังตรงยื่นออกมา ไม่ควรก่อออกมายาวมากเกินไป หรือถ้าจะก่อออกมายาว ควรก่อผนังให้โค้ง มีครีบหรือหักเป็นรูปตัวT เพื่อช่วยให้ผนังมีความแข็งแรง







4. การก่อเสา ใน บางครั้งเราอาจต้องการเสาดิน ให้ก่ออิฐสลับกันในแต่ละชั้น ในกรณีนี้ อิฐที่ใช้ควรออกแบบให้มีความยาวเป็น 2 เท่าของความกว้าง (เช่น 6"x12" หรือ 8"x16") เพื่อให้เสาเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสเท่ากันทั้งสองด้าน เราอาจใช้มีดพร้าถากเพื่อลดมุม หรือทำให้เป็นเสากลมก็ได้





อ้างอิงจาก : http://www.baandin.org/web/index.php?option=com_content&task=view&id=168&Itemid=59

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก www.baandin.org ครับ

0 comments:

Post a Comment